ทางเท้าคนตาบอด เส้นทางบนความมืดมิดที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้พิการทางสายตา

ในสภาพปัจจุบันวิถีชีวิตของบรรดาผู้คนในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนปกติหรือคนพิการก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าเราดำเนินชีวิตส่วนหนึ่งอยู่บนทางเดินสาธารณะหรือที่เรียกขานกันคุ้นหูว่าทางเท้ากระนั้นเองทางเท้าจึงกลายเป็นพื้นที่สาธารณะ
ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ซึ่งเอื้อต่อผู้คนทั่วทุกสารทิศ หากเราได้มีโอกาสสังเกตทางเท้าในหลายๆพื้นที่ของย่านชุมชนที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพมหานคร จะพบว่าบริเวณพื้นที่ตลอดทางเดินเท้านั้น มีแผ่นพื้นปูนสำเร็จรูปสีเหลือง ที่มีลักษณะเป็นปุ่มกลมๆ นูนขึ้นมาและปูลาดยาวจนสุดลูกหูลูกตาเฉกเช่นจิ๊กซอว์ก็ว่าได้ พื้นทางเท้านั้นก็คือ “เบลบล็อก” หรือปุ่มสัมผัสเท้าของผู้พิการทางสายตานั่นเอง สัญลักษณ์เหล่านี้เปรียบได้ดั่งภาษาซึ่งจะช่วยบอกบรรดาเหล่าผู้พิการทางสายตาว่า หากเดินไปตามเส้นทางนี้แล้วจะปลอดภัย โดยปุ่มสัมผัสเหล่านี้จะมีการแปรเปลี่ยนรูปแบบไป หากเมื่อบริเวณใดมีสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรค์ในการเดินหรือทางนั้นมีการเปลี่ยนระดับ เปลี่ยนทิศทาง เบลบล็อกจะเป็นตัวสื่อสารให้ผู้พิการทางสายตาได้เข้าใจและเลือกที่จะเปลี่ยนทิศทางในการเดิน
หากมองแล้วเหมือนว่าทางเท้าคนคนตาบอดจะดูมีความหมายค่อนข้างมากเพราะถือเป็นสวัสดิการจากหน่วยงานภาครัฐบาลที่เอื้ออาทรกับกลุ่มคนที่ด้อยสมรรถภาพทางกายมากกว่าคนปกติ ทั้งให้คุณประโยชน์พร้อมกับช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าบรรดาผู้พิการทางสายตา แต่หารู้ไม่ว่าสภาพการณ์ในขณะนี้ทางเท้าดังกล่าวนั้นได้เกิดปัญหามากมายและกลับกลายเป็นเส้นทางที่แฝงไปด้วยความเสี่ยงและอันตรายเข้ามาแทนที่ หากผู้พิการทางสายตานั้นใช้ทางเท้าในการสัญจรไปมาในชีวิตประจำวัน
นายกิติพงศ์ สุทธิ ผู้อำนวยการสถาบันคนตาบอดแห่งชาติ
ตัวแทนของผู้พิการทางสายตาได้เล่าถึงสภาพปัญหาของทางเท้าคนตาบอดในปัจจุบัน และกล่าวถึงประเด็นเรื่องของสิทธิในการเข้าถึงประโยชน์และสวัสดิการของผู้ พิการทางสายตาว่า การที่คนตาบอดใช้ทางเท้าอย่างไม่มีความสะดวกและเกิดความไม่ปลอดภัยนั่นถือ ว่ากรณีนี้เป็นการเพิกเฉยและลิดรอนสิทธิของคนตาบอดอย่างแน่นอน ประเด็นสำคัญคือ เบลบล็อกที่สร้างขึ้นนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสับสนให้กับผู้พิการ ทางสายตาเป็นอย่างมาก เพราะตามเส้นทางเท้านั้นได้มีการก่อสร้างสิ่งกีดขวางถาวร ซึ่งทำให้ตัวเบลบล็อกขาดตอนบ้างหรือการก่อสร้างสิ่งกีดขวางตามพฤติกรรมของการใช้บ้าง ทำให้ตัวเบลบล็อกไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้พิการทางสายตาอีกต่อไป ในเมื่อมีการบริหารจัดการภายหลังการติดตั้งไม่สู้ดีนัก จึงเป็นเหตุให้บรรดาผู้พิการทางสายตานั้นเกิดความไม่เห็นด้วยในการก่อสร้างเบลบล็อกบนทางเท้า

ทั้งนี้นายกิติพงศ์ ยังได้เปิดเผยกับทางทีมงานถึงพื้นที่ทางเท้าที่มัก
ประสบปัญหาวิกฤติอยู่เป็น เนืองนิจและกรณีการประสบอุบัติเหตุต่างๆรวมถึงการร้องเรียนเรื่องสภาพปัญหา ไปยังหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องว่าพื้นที่ดังกล่าวที่ประสบปัญหาส่วนใหญ่นั้นจะเป็นย่านชุมชนหรือย่านธุรกิจที่ มีผู้สัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก อาทิ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ย่านประตูน้ำ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมักจะประสบปัญหาทางเท้าในเรื่องของตัวพื้นถนนหรือตัว เบลบล็อกที่ชำรุด อันเป็นเหตุให้แยกไม่ออกว่าแท้จริงแล้วส่วนใดคือถนนส่วนใดคือเบลบล็อก ทั้งนี้ยังพบเรื่องพื้นผิวของท่อระบายน้ำและฝาท่อที่เป็นอุสรรค์ในการสัญจร ไปมาของผู้พิการทางสายตาอีกเช่นกัน
ประสบปัญหาวิกฤติอยู่เป็น เนืองนิจและกรณีการประสบอุบัติเหตุต่างๆรวมถึงการร้องเรียนเรื่องสภาพปัญหา ไปยังหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องว่าพื้นที่ดังกล่าวที่ประสบปัญหาส่วนใหญ่นั้นจะเป็นย่านชุมชนหรือย่านธุรกิจที่ มีผู้สัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก อาทิ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ย่านประตูน้ำ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมักจะประสบปัญหาทางเท้าในเรื่องของตัวพื้นถนนหรือตัว เบลบล็อกที่ชำรุด อันเป็นเหตุให้แยกไม่ออกว่าแท้จริงแล้วส่วนใดคือถนนส่วนใดคือเบลบล็อก ทั้งนี้ยังพบเรื่องพื้นผิวของท่อระบายน้ำและฝาท่อที่เป็นอุสรรค์ในการสัญจร ไปมาของผู้พิการทางสายตาอีกเช่นกัน
ส่วนอุบัติเหตุต่างๆที่ผู้พิการทางสายตาต้องประสบระหว่างการใช้พื้นที่ทางเท้าสัญจรนั้น นายสุทธิได้เล่าว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมีหลายระดับ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดการชนสิ่งกีดขวาง การหกล้ม ถ้าขั้นรุนแรงขึ้นมาอีกคือ การเดินตกท่อ และในบางครั้งหากเกิดการเดินแล้วเกิดไปชนแพงหาบแร่ของเหล่าพ่อค้าแม่ค้า เหตุการณ์นั้นก็บานปลายถึงขั้นทะเลาะวิวาทก็มี ประเด็นเหล่านี้เองทำให้ผู้พิการทางสายตาต้องดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยงซึ่งยากที่จะเลี่ยงได้ อย่างไรก็ดีทางสถาบันคนตาบอดได้มีการประสานไปยังกรุงเทพมหานคร โดยเรียกร้องให้ให้มาดำเนินการแก้ไขทั้งในกรณีการชำรุด การจัดระเบียบธุรกิจการค้า หาบแร่ต่างๆให้เป็นระบบระเบียบมากกว่าที่เป็นอยู่ มิเช่นนั้นแล้วทางเท้าที่กล่าวว่าเป็นสวัสดิการที่เอื้ออำนวยให้แก่ผู้พิการทางสายตาก็จะกลายเป็นพื้นที่อันไร้ค่า มิหนำซ้ำอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าเป็นคุณ

ทีมงานได้ลงพื้นที่สำรวจบริเวณทางเท้าตามย่านต่างๆซึ่งมีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานครเพิ่มเติม พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นบนทางเท้าของผู้พิการทางสายสายตานั้นยังมีเรื่องของทางเท้าที่ผิดมาตรฐาน มีความลาดเอียงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วความลาดชันที่เหมาะสมนั้นจะอยู่ที่ 1 ต่อ 12 กล่าวคือหากทางเท้านั้นมีความสูงจากพื้นถนน 10 เซนติเมตร จะต้องทำทางลาดความยาวอย่างน้อย 1.20 เมตรขึ้นไป หรือถ้าทำได้ยาวกว่านี้ก็จะยิ่งดีใหญ่ ถ้าจะให้ดีที่สุดคือให้ได้ 1 ต่อ 20 สิ่งเหล่านี้เองกลายเป็นอุปสรรค์ที่ทำให้คนพิการทางสายตาหรือคนที่ด้อยสมรรถภาพทางกายทั้งผู้สูงอายุ เด็ก อาจเกิดอันตรายได้ ผู้พิการทางสายตามนุษย์ผู้ซึ่งอยู่บนโลกใบเดียวกับเรา ผู้ซึ่งมีคุณค่าในความเป็นมนุษย์เท่า ๆ กับเรา เสียงสะท้อนของผู้พิการเหล่านี้คงจะพอเป็นแรงกระตุ้นให้สังคมไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและมีจิตสำนึกที่อยู่บนความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทางเท้าคนตาบอดก็จะไม่เป็นเพียงเส้นทางที่มีแต่ความมืดมิดอีกต่อไป
ผู้จัดทำ
นายยศพล สกุลธรรมรักษ์ 5206100010นางสาวณัฐวีย์ นารถ 5206100011
นางสาวกชพรรณ บุญสนอง 5206100012
นางสาวพิมพ์พรรณ สุริวรรณ 5206100015
นายปริวัฒน์ โปร่งฟ้า 5206100023
นางสาวมานิตา ลิขิตสายชล 5206100027
นางสาวชิดชนก จันทวงศ์ 5206100032
นายอานนท์ รักษ์บำรุงสกุล 5206100039
นางสาวสุชาดา นิ่มนวล 5206100041
นางสาวณัฐพร สังขมณี 5206100042
นางสาวเสาวภา จันทรา 5206100054
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น